7.2 KiB
layout | status | published | title | author | date | categories | tags |
---|---|---|---|---|---|---|---|
post | publish | true | การติดตั้ง Django: 101 | [{display_name sipp11}] | 2013-10-26 | [coding] | django 101 thai python |
จริงๆแล้วการติดตั้งก็ไม่ได้มีวิธีเดียวครับ แต่การติดตั้งข้างล่างนี้จะเป็นการติดตั้งโดยใช้ virtualenv
ด้วยซึ่งจะทำให้ package แยกกันโดยอิสระในแต่ละ project ที่เราทำงานครับ เวลาลบก็ลบง่าย เพราะไม่เกี่ยวกับระบบเลย จะเป็นการติดตั้งสำหรับแค่ตัวเราเท่านั้น
Django for OSX
สิ่งที่จำเป็นต้องมี คือ HomeBrew ถ้ายังไม่มีสามารถติดตั้งผ่าน Terminal โดยพิมคำสั่งตามนี้
$ ruby -e "$(curl -fsSL https://raw.github.com/mxcl/homebrew/go)"
หลังจากติดตั้ง brew แล้ว เราก็มาเริ่มลงสิ่งที่จำเป็นในชีวิตกันครับ
$ brew install git mercurial
หลังจากนั้นก็ติดตั้ง database ตามชอบใจ
ถ้าใช้ MySQL
$ brew install mysql
ถ้าใช้ PostgreSQL
$ brew install postgresql
ต่อมาก็ลงเรื่องของ python กันต่อครับ สิ่งที่จำเป็นในชีวิตของ python ก็คือตัวหาและลง library ที่มีอยู่เยอะแยะมากมาย
$ sudo easy_install pip
easy_install
เป็น package manager ตัวนึงของ python ที่เดี๋ยวก็ไม่ค่อยจะใช้กันแล้วเพราะ pip
ทำได้ดีกว่ามากๆ ที่เราต้องใช้ easy_install
นั้นเพราะเราไม่มี package manager อื่นที่มี pip
กันเลยทีเดียวใน OSX ก็เลยต้องใช้มันลง pip
ก่อน ส่วนการใช้ sudo ผมคิดว่าน่าจะเหมาะสมแล้วเพราะ pip
ก็เป็น package manager ตัวนึงไม่น่าที่จะต้องทำให้แบ่งตาม user และสิ่งที่เราต้องทำต่อไปคือ เราต้องทำต่อไปคือ ลง virtualenv
$ sudo pip install virtualenv virtualenvwrapper
ส่วนนี้ก็ยังลงในระบบกันต่อไป เพราะประเด็นเราคือแยก แต่ละ virtualenv
ตามแต่ละ project เราจะต้องทำให้ command shell เรารู้จัก virtualenv
ด้วยการใส่ใน ~/.bash_profile
# python virtualwrapper
export WORKON_HOME=$HOME/.virtualenvs
source /usr/local/bin/virtualenvwrapper.sh
แล้วก็
$ source ~/.bash_profile
เพื่อให้ command shell เรารับสิ่งที่เราใส่ไปครับ เท่านี้เครื่องของเราก็พร้อมที่จะใช้งาน django กันแล้ว หลังจากนี้เราก็ทำการสร้าง virtualenv
กันครับ
$ mkvirtualenv django # จริงๆ จะเป็นชื่ออะไรก็ได้นะครับ ตามใจตรงนี้
เท่านี้เราก็แทบจะเรียกว่า เครื่องเราพร้อมกับการใช้ django แล้วครับ ถึงเวลาเริ่มจริงๆแล้ว
$ workon django
(django)$ pip install django
(django)$ mkdir -p project
(django)$ cd project
(django) project$ ./manage.py runserver
เป็นอันเสร็จสมบูรณ์
Django for Debian
ก็จะเป็นแค่สำหรับ distro ที่เป็น debian นะครับ เพราะปกติผมก็ใช้ debian เป็นหลักครับ เช่น Debian, Ubuntu, Mint, ... ถ้าเป็น Arch หรือ Fedora หรืออย่างอื่นก็จะมีคำสั่งต่างกันออกไปเล็กน้อยนะครับ ก่อนอื่นก็ลงโปรแกรมที่จำเป็นต่อชีวิต
$ sudo apt-get install build-essential git mercurial python-pip python-dev
มันก็แล้วแต่จะใช้ database อะไรนะครับ
-
SQLite
ก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม -
MySQL
$ sudo apt-get install mysql-server $ sudo apt-get build-dep python-mysqldb
-
PostgreSQL
$ sudo apt-get install postgresql $ sudo apt-get build-dep python-psycopg2
ติดตั้งกันต่อ คราวนี้เป็น virtualenv
ครับ
$ sudo pip install virtualenv virtualenvwrapper
หลังจากนั้นก็ต้องใส่ virtualenv
path หน่อย เพื่อให้เราใช้งานมันง่ายๆ
$ vi ~/.bashrc
เพิ่มบรรทัดนี้ด้านล่าง
# python virtualwrapper
export WORKON_HOME=$HOME/.virtualenvs
source /usr/local/bin/virtualenvwrapper.sh
จากนั้นก็ reload ซักที
$ source ~/.bashrc
จริงๆแล้ว อาจจะใช้ nano
แทน vi
ก็ได้ครับ แต่เชื่อเถอะครับ ถ้ายังไม่เคยใช้ vi
ลองทนใช้ดูแล้วจะไม่อยากใช้อย่างอื่นอีกเลย หลังจากนี้เราก็ทำการสร้าง virtualenv
กันครับ
$ mkvirtualenv django # จริงๆ จะเป็นชื่ออะไรก็ได้นะครับ ตามใจตรงนี้
เท่านี้เราก็แทบจะเรียกว่า เครื่องเราพร้อมกับการใช้ django แล้วครับ ถึงเวลาเริ่มจริงๆแล้ว
$ workon django
(django)$ pip install django
(django)$ mkdir -p project
(django)$ cd project
(django) project$ ./manage.py runserver
เป็นอันเสร็จสมบูรณ์